วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2553


OOOOคนไทยในญี่ปุ่น....

OOOOOคืนนี้เรามีนัดแต่นัดกับใครเราไม่บอก...เพียงบอกคณะว่าคืนนี้มีเซอร์ไพร้...ดูทุกคนตื่นเต้นเมื่อรู้ว่าแขกผู้มาเยือนคืนนี้...เป็นคนไทย...เป็นสาวสวย...ที่มาหากินในญี่ปุ่น...ส่วนหนึ่งบอกอยากพักอีกหลายคนบอกอยากท่องราตรีเมืองญี่ปุ่นดูบ้าง...ขอไปกับเราด้วย...เราเช็คยอดผู้มาเยือนในคืนนี้มากพอควร...

ฯฯฯฯฯสามทุ่มเศษโทรศัพท์เราได้รับสายแขกผู้มาเยือน..."เจ้าอยู่ม่องใด"

OOOO"ยืนอยู่หน้าโรงแรม"ไม่เกินสามนาทีมีผู้หญิงแปลกหน้าวิ่งเข้ามาสวมกอดเรา คงเป็นอารมณ์ดีใจ แปลกใจ ตื่นเต้น กอดรัดแบบไม่ยอมปล่อย"ตู่"ปล่อยวงแขน"ดาว แอ้ว อิ๋ว"กรูเข้ามากอดพร้อมกันก่อนสวัสดีทุกคนที่ยืนเรียงรายอยู่..."ตู่"เป็นสาวใหญ่แห่งบ้านหนองบัว บ้านที่เราเคยสอนมาเผชิญโชคที่ญี่ปุ่นหลายรอบรอบละหลายปีจนมีวีซ่าญี่ปุ่น...เป็นลูกชาวนาที่กล้าได้กล้าเสียแบบโสตาย เข้าออกญี่ปุ่นเป็นว่าเล่น มีสามีเป็นญี่ปุ่น...และมีลูกใหม่ด้วยกัน"ตู่"เป็นแม่ของลูกญี่ปุ่น เป็นเจ้าของร้านอาหารไทยในญี่ปุ่น...ที่สามารถนำเอาลูกหลานจากบ้านหนองบัว"ดาว แอ้ว อิ๋ว"...และอีกหลายคน...แต่วันนี้มารับเราและคณะแค่สามคน เพื่อนผู้หญิงไทยชื่อน้อย และญี่ปุ่นผู้ชายชื่อไอ้กีโต้ที่หลงไหลเพลงคาราบาวอีกคน..."ไปไสกันดี"สำเนียงบ้านหนองบัวหน้าฐานบิน ถามขึ้น หลังจากทักทายถามไถ่ "จักแหลวบ่เคยมาจักเถือ...แล้วแต่พวกโตโลด"แนะนำฝ่ายเราจากไทย...และลูกศิษย์ลูกสาวจากญี่ปุ่นเรียบร้อย "ตู่"ตัดสินใจ "ไปกินเหล้าร้านคนไทย"คณะจากนครพนมมีเรา...ดร.สมชอบ...ประธานตั้ม...รองสฤษดิ์...รองกะปิ...สจ.กอ...สจ.กูด...เกษตรจังหวัด...พี่พร้อมพันธ์...เลขาเกษม...และน้องฝนไกด์ของทัวร์...ฝ่ายต้อนรับมี ตู่...ดาว...แอ้ว...อิ๋ว...เพื่อนตู่ชื่อน้อย....คนขับรถญี่ปุ่นไอ้กีโต้...เดินลัดซอยซอกตึกประมาณกิโลครึ่งผ่านสินค้าตลาดมืดแบกะดิน การแสดงโชว์ การโฆษณาสินค้าของฟริตตี้สาวสวย เห็นคนมุงอยู่เป็นกลุ่มๆ มันก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับระแวกย่านธุรกิจในกรุงเทพแถวถนนสีลมหรือราชประสงค์ยามค่ำคืน ตู่พาคณะเดินลงบันไดของซอกตึกแห่งหนึ่ง "ร้านอาหารไทยเพื่อนหนูเองผัวเมียคนไทยมาเปิดร้านอาหารและคาราโอเกะที่นี่" เสียงเพลงไทยลูกทุ่งดังลอดขึ้นมา ยั่วน้ำลายหนุ่มไทยที่ออกจากบ้านมาได้แค่สองคืน แต่นี่มันคือญี่ปุ่นครับ ญี่ปุ่นที่ใครต่อใครอยากมาเทียว...ยิ่งได้สาวไทยหน้าตาจิ้มลิ้มแต่งตัวสไตล์ญ่ีปุ่น...ไก่แจ้...ไก่โต้ง...เฒ่าหัวงูทั้งหลายยิ่งแสดงออกอย่างเต็มที่...โดยโต๊ะข้างๆก็เป็นสาวไทยมาเที่ยวกับหนุ่มยุ่น...การแสดงความเป็นหนุ่มลูกทุ่งเพลงต่อเพลง...สนุกแบบลืมว่านี่คือญี่ปุ่น...เกือบตีสี่น้องน้ำฝน...เตือนคณะว่าพรุ่งนี้ต้องไปดูงาน...แถมขู่ว่าญี่ปุ่นถือเวลาเป็นเครื่องต่อรองว่านัดต้องเป็นนัด...กลัวพวกเราตื่นไม่ทัน...กว่าคณะจะแยกกันได้เกือบสว่าง...ต้องขอบคุณน้องตู่และคณะเป็นอย่างสูง...

วันพุธที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2552

ซูซิ...ซาซิมิ...หากินได้ในญี่ปุ่น...ส่วนซาอีปิ...กลับไปกินเมืองไทย...




00000ทุ่มเศษคณะก็เดินทางไปถึงภัตราคารที่ทางทัวร์จัดไว้ให้...เป็นบุฟเฟ่ต์บาร์บีคิว ทั้งเนื้อวัวเนื้อหมู ปลา ไก่ ซีฟูต ที่สุดแท้แต่ใครจะเลือก...พอได้ที่นั่งเรียบร้อยต่างคนก็แยกย้ายกันไปเลือกตักอาหาร...คนละชนิดสองชนิดแล้วนำมารวมกัน ปิ้งๆ ย่าง ๆบนเตาอย่างสนุกสนาน...ทานคู่กับน้ำจิ้ม สไตล์ญี่ปุ่นแต่รสชาดไม่เข้ากับปากปลาร้าอย่างพวกเรา ดีแต่ว่าคุณสุพจน์ เขาเป็นมืออาชีพนำลูกทัวร์มาบ่อยจึงได้เตรียมน้ำจิ้มของไทยที่คุ้นลิ้นไปด้วย...รสชาดจึงกลับคืนมาบ้าง...โต๊ะนั่งก็เหมือนโต๊ะร้านเนื้อย่างบ้านเรานี่แหละ...ที่บ้านเราคงลอกแบบไปจากญี่ปุ่น...หรือไม่ก็เกาหลี...จึงใช้ชื่อร้านว่าเนื้อย่างเกาหลี...มีเก้าอี้ สี่ห้าตัว...ล้อมรอบโต๊ะ...คนไทยสไตล์ลาวอีสานลากโต๊ะมาต่อกันสองตัวบ้างสามต้วบ้างตามแต่พื้นที่จะอำนวย...สจ.บ้านนอกอย่างพวกเรา...อร่อยหรือไม่ไม่ว่าตักทุกอย่างที่มี...จนล้นจานทั้งซูซิ ซาซิมิ ข้าวปั้นหน้าต่างๆ(ข้าวเหนียวพันสาหร่าย,ข้าวเหนียวห่อปลาดิบ) แต่หลากหลายกว่าเมืองไทยแถมเครื่องเคียงอีกมากมายอาทิ สลัด ราเม็ง อุดัง สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือสาเก...เหล้าขาวชั้นดีที่เป็นเครื่องเคียงกับข้าวชั้นยอด"เขาให้ไปรินเอา" สจ.สฤษดิ์..ถือแก้วที่มีสาเกเกือบล้น...ทำให้พวกเราพากันเดินไปรินเอาเหล้าที่มีหลายขวดหลายตระกูลวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ..."เหล้ากะบุฟเฟ่ต์เบาะคือดีแท้..."สจ.กะปิถามด้วยความสงสัย...."เหล้าต้องซื้อเองครับ"คุณสุพจน์เตือนเบาๆ "กะย่าแล้วกินแหละ บ่มีไผบอกเฮย..."สจ.สฤษดิ์บอกด้วยภาคภูมิใจที่ขโมยกินสาเกญี่ปุ่นได้
00000เมนูพิเศษอีกที่ประทับใจพวกเราคือ ขาปูยักษ์ "ปูอลาสก้า กิโลละ 5000 บาท สั่งได้ไม่อั้นสำหรับพวกเรา"นายกสมชอบ หัวหน้าคณะทัวร์บอกทีมงานที่กำลังสนุกสนานกับการกิน หลังสาเกออกฤทธิ์เสียงก็เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ แถมโต๊ะข้างๆนักเรียนญี่ปุ่นสาวๆที่มากันเป็นกลุ่ม เป็นคู่นั่งไม่ระวังชายกระโปร่งมันยิ่งทำให้เฒ่าหัวงู...ที่หนีเมียมากินซาซิมิที่นี่....คนที่คิดถึงซาอีปิ...ก็ต้องทนอดไปกินที่บ้านครับเจ้านาย...และแถมโออี ปิ อีกหนึงหม้อใหญ่ที่เก่าและแก่ อีเฒ่าคนเดิมครับ...

วันจันทร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2552

วัดอาซะกุซ่า...(วัดพระแก้วญี่ปุ่น)...

เพิ่มรูปภาพอาหารในโลกนี้ไม่ว่าฝรั่ง อังกฤษ จีน ญี่ปุ่น สู้ของที่บ้านเราไม่ได้หรอก...ยิ่งเมียเราเป็นคนทำถือว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์อันดับ 9 ของโลก....แต่ไปไหนต้องกิน...เพราะกินแล้วอร่อยไม่อร่อย...เดียวมันก็ออกมาเป็นกากอาหารแล้วก็หิวอีก...
บ่ายแก่ๆ รถก็มาจอดหน้าบริเวณวัดอาซะกุซ่า..วัดเก่าแก่ที่สุดในกรุงโตเกียว ภายในวัดยังมีพระพุทธรูปทองคำเจ้าแม่กวนอิม...ผู้คนเดินกันขวักไขว่แข่งสายฝน...หรือว่ามาวัดเหมือนคนไทยบางคนเพื่อ...ขอหวย...บนบานให้ร่ำรวย...ให้....ฯลฯ...หรือมาเพื่อกราบไหว้ขอพร...มาเพื่อศรัทธาต่อศาสนา...แฟชั่นญี่ปุ่นมีให้เห็นเดินคู่เดินเดี่ยว เป็นกลุ่ม..."คือกับวัดพระแก้วบ้านเรานั่นแหละ"สจ.กระปิ จากเรณูนครตั้งข้องสังเกตุ ...เออน่าจะใช่เพราะเห็นนักท่องเที่ยวทุกทัวร์ถูกต้อนมาที่นี่กัน ภายในวัดยังมีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์(เข้าตำราชาวพุทธ)โคมไฟสีแดงขนาดยักษ์ที่มีความสูงถึง 4.5 เมตร ตั้งตระหง่านอยู่กลางลานวัด...จากลานวัดเชื่อมกับถนนนาคามิเสะ...อันเป็นย่านช้อปปิ้งของวัดที่ขายสินค้าโอท็อปที่ระลึกมากมายทั่วประเทศ...ของถูก...แต่ไม่มีใครกล้าซื้อเพราะยังเสียดายเงินเยนที่มีอยู่น้อยนิด...ของขายก็เหมือนสินค้าบ้านเราแถววัดอยุทธยา หรือแหล่งท่องเทียวทั่วไปไม่ว่าจะเป็นผ้าทอมือ...เครื่องรางของขลัง...พระ เหรียญต่างๆ...เงินเก่า...มีดดาบ...รวมถึงขนมพื้นบ้านทั่วไป...
0000"ไเราจะพาท่านเข้าสู่ที่พักโรงแรมชินจูกุ ( SHINJUKU PRINCE HOTEL)อันเป็นโรงแรมชื่อดังที่ตั้งอยู่กลางย่านชุนจูกุ ย่านช้อปปิ้งชื่อดังของกรุงโตเกียว ชินจูกุ มีความเจริญอันดับหนึ่งของโตเกียว ปัจจุบันถูกขนานนามว่าศูนย์กลางที่สองแห่งนคร ศูนย์รวมร้านค้าจัดแต่งอย่างหรูหราน่ารักหลากสไตล์ ที่ท่านจะได้เพลิดเพลินกับการจับจ่ายสินค้าที่ถูกตาถูกใจเงินในกระเป๋า เช่าน นาฬิกาแบรนด์เนมดัง อุปกรณ์อิเลคทรอนิค กล้องถ่ายรูปดิจิตอล หรือสินค้าเอาใจคุณผู้หญิงที่บ้าน เช่นเสื้อผ้าแฟชั่นวัยรุ่น กระเป๋า รองเท้า เครื่องสำอางค์ยี่ห้อดังของญี่ปุ่น...ไม่ว่าจะเป็น KOSE SHISEDO KANEBO SK-II ...ในราคาถูกกว่าเมืองไทย ซึ่งทุกท่านเดินดูสินค้าได้จนกว่าเวลาก่อนทุ่มตรง เราถึงจะนำท่านไปกินอาหารค่ำ ณ ภัตราคารหรูครับ..."เสียงคุณสุพจน์ประกาศผ่านไมค์โครโฟน...

วันจันทร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2552

มนุษย์ในโลกนี้...มีอะไรที่เหมือนและต่างกัน...


00พระราชวังที่ใหนๆในโลกนี้เหมือนกันอยู่อย่างคือมากด้วยระเบียบ...ข้อห้าม...ทั้งๆวันนี้เป็นวันจันทร์ยังบอกเราว่าเข้าชมไม่ได้เพราะเขาปิด...คณะเราทุกคนไม่มีใครอยากดูพระราชวังสักเท่าใดหรอก...ที่มาเมืองกิโมโนครั้งนี้อยากดูอย่างอื่นมากกว่า...ฝนพรำปรอยๆ อากาศเย็นถึงไม่หนาวจัดก็ทำให้คนที่มาจากประเทศร้อนอย่างพวกเรารู้สึกหนาวได้...หลายคนยืนถ่ายรูปไว้ดูไว้อวดคนพอสมควรแล้วก็ขึ้นรถ...เพราะไม่ได้เข้าไปในพระราชวังเห็นแต่ตัวกำแพงก็คงไม่มีใครใส่ใจนักนอกจากสาวนักเรียนนักศึกษาที่มากันเป็นกลุ่มเป็นคู่...แถมนุ่งสั้นตามแบบฟอร์มของญี่ปุ่นที่ทำให้ไอ้เฒ่าหัวงูทั้งหลายพอมีอารมณ์เบิกบานได้บ้าง...พระราชวังแห่งนี้ก็คงใช้เงินของประเทศมหาศาล...ใช้จำนวนคนที่เป็นแรงงานมากมายเช่นเดียวกับเมืองอื่นๆในการก่อสร้าง...สร้างเสร็จก็อยู่แค่ครอบครัวเดียว...ข้างในเขาทำอะไรบ้างใครจะไปรู้เพราะกำแพงหนาทึบ...ประตูเหล็กไม่รู้กี่ชั้น...เวรยามอีกต่างหาก...นี่แหละคือโลกมนุษย์ผู้ที่มีพละกำลังเหนือกว่าย่อมเอาเปรียบคนที่อ่อนแอเสมอ....
0000เที่ยงเศษรถก็มาจอดอยู่หน้าปากซอยแคบๆแห่งหนึ่ง กลางกรุงโตเกียว ทุกคนเดินตามกันเหมือนแถวนักเรียนอนุบาล ขึ้นไปบนอาคารหลังเล็กแห่งหนึ่งที่มีภาษาญี่ปุ่นเขียนไว้ให้อ่าน...ไม่เข้าใจหรอกดูรูปเอา..."ร้านอาหาร..."สจ.สฤษดิ์...เดาตามรูปทรงของอาคารที่ดัดแปลงเป็นภัตราคาร...
0000อาหารญี่ปุ่นวางเรียงรายรอพวกเราอยู่เต็มโต๊ะ(ขันโตก)ข้างๆมีเบาะรองนั่ง...ทุกคนเข้าไปนั่งประจำที่ไม่ได้พูดจากันมากนักเพราะ...กินบะหมี่...ขนมปัง...กาแฟคนละถ้วยตั้งแต่เช้า....นี่เกือบบ่ายโมงแล้ว...อาหารญี่ปุ่น...คนไทยอย่างเราคุ้นเคยบ้าง ถึงแม้จะไม่ได้กินประจำ สาหร่ายห่อข้าวเหนียว...ข้าวเหนียวห่อปลาดิบ...เส้นหมี่...หมั้นโถ...ต้มเส้น...ฯลฯ.... ก็รอดตายไป...

วันพฤหัสบดีที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2552

ญี่ปุ่น...ประเทศที่ทุกคนอยากสัมผัส....และลิ้มลอง...สักครั้ง

0000วันจันทร์ที่ 29 กันยายน 2551 เวลา หกโมง สี่สิบนาทีเศษ คนไทย 13 คนก็ได้เดินผ่านขั้นตอนของศุลกากรของสนามบินนาริตะญี่ปุ่น ออกจากสนามบินก้าวขึ้นรถบัสที่มารับคณะ"ขอต้อนรับทุกท่านสู่ประเทศญี่ปุ่น และขอสวัสดีอีกครั้งนะครับ"เสียงคุณสุพจน์ ไกด์นำเที่ยวที่นำคณะเราเข้าสู่ญี่ปุ่นและจะเป็นผู้พานำเที่ยวศึกษาดูงาน "ประเทศญี่ปุ่นจะเช็คอินเข้าโรงแรมตอนหลังบ่ายสองโมง ฉนั้นก่อนเข้าโรงแรมจะพาคณะเข้าชม พระราชวังอิมพีเรียล พระราชวังอันเก่าแก่อันเป็นที่ประทับของสมเด็จพระจักรพรรดิ์แห่งราชวงค์เมจิของญี่ปุ่น ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโตเกียวท่ามกลางคูน้ำล้อมรอบสร้างมาตั้งแต่สมัยเอโดะ"เสียงไกด์สาธยายผ่านไมค์โครโฟนของรถ "มันกะสิคือวัดพระแก้ว บ้านเฮานี่หละเน๊าะ"เสียงสจ.แทรกมาทางหลังรถ
0000รถวิ่งมาตามถนนประมาณ สิบกว่านาทีก็จอดริมถนนนึกว่าคงเป็นปั้มน้ำมันที่ไหนสักแห่งเพื่อให้ผู้คนลงไปผ่อนคลายเข้าห้องน้ำแปลงฟัน แต่ไม่ใช่ กลับเป็นร้านอาหารญี่ปุ่น ที่มีทั้งกาแฟ เครื่องดื่ม อาหาร แบบฟูดฟาส ตั้งเป็นตู้เรียงรายกันอยู่ในตึกแถวเล็กๆ(เพิงหมาแหงน)ถ้าบ้านเราก็คงเป็นร้านขายอาหารริมถนนสักแห่งที่ขายข้าวเหนียวไก่ย่างส้มตำลาบก้อย หรือร้านข้าวแกงแต่นี่คือญี่ปุ่น อาหารหลักก็ต้องเป็นของญี่ปุ่นผสมผสานกับขนมปังฮอทด็อกเพื่อให้ดูเป็นอินเตอร์ แต่ถ้ามองดูโดยรอบบริเวณแถวนี้คงเป็นร้านที่ราคาถูกที่สุดของทั้งคนญี่ปุ่นหรือคนต่างประเทศ ทุกคนเอาเงินเยนมาแลกคูปองก่อนไปเลือกซื้ออาหารแปลกตาที่ยังไม่คุ้นเคยกับรถชาด...ภาษามือเป็นภาษที่ดีที่สุดสำหรับอาหารมื้อนี้...และอาหารมื้อแรกของเราในแผ่นดินนี้คือ"บะหมี่ กับกาแฟอีกหนึ่งถ้วยกระดาษ"
0000ญี่ปุ่นก็คือญี่ปุ่น...เป็นเมืองที่ทุกคนรู้จักทางประวัติศาสตร์ผ่านการศึกษาเล่าเรียน ผ่านทางสื่อต่างๆว่าก้าวหน้ากว่าใครเพื่อนในภูมิภาคเอเซียอาคเนย์ หรือแม้แต่ประเทศอื่นในโลกใบนี้ เรื่องคน วัฒนธรรม เราทั้งหลายทราบดีผ่านทั้งภาพยนตร์ หนังสือ สารคดี ทีวีทุกช่อง เอาญี่ปุ่นมาชำแหละจนเห็นทุกซอกมุม...คงไม่ต้องนำมาสาธยายอีกนะครับ...แต่ญี่ปุ่นก็คือคนเอเซีย กินข้าวเป็นหลัก กินผักเป็นประจำ พื้นที่อันน้อยนิดตามลาดเขา ตามที่ลุ่มก็มีนาข้าว มีสวนผัก...ถึงแม้พื้นที่ไม่กว้างใหญ่เหมือนบ้านเรา ก็มีให้เห็นทั้งนาข้าว สวนผัก ผลไม้...ตามที่ว่างสองข้างทางที่ฝนกำลังลงเม็ดปรอยๆ "เรียนทุกท่านทราบนะครับว่าขณะนี้ญี่ปุ่นอยู่ในห้วงมรสุม...มีพายุเข้า...ทำให้ญี่ปุ่นทั่วทั้งประเทศอากาศเย็น...และมีฝนตก...ก่อนลงจากรถให้ทุกท่านหยิบเอาร่มติดตัวคนละคันไปด้วยครับ..." เสียงคุณสุพจน์ ประกาศบอกพวกเราด้วยความเป็นห่วงหลังจากนำรถผ่านหุบเขา ขึ้นเขา ลงห้วย ...ริมทะเล รอดอุโมงค์...ผ่านทางเรียบทางชันก็ถึงพระราชวังเก่าแก่แห่งญี่ปุ่ในเวลา 11 นาฬิกาเศษ....

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

สุวรรณภูมิ...สวรรค์ที่คนไทยภาคภูมิใจ...


0000ก่อนสองทุ่ม รอเช็คอินอีกครั้งทุกคนจึงมีอิสระเต็มที่ แลคเงินสกุลเยนคนละหมื่นสองหมื่นเอาไว้กันตายเวลาเดินชนชามก๊วยเตี๋ยว แต่ก็มี สจ.ใจใหญ่กระเป๋าหนักหลายคนตั้งใจจ่ายเต็มที่ มีเท่าไรแลกหมดกลับมาค่อยแลกกลับคืน

0000สจ.กล(สากล ไกษร) สจ.ทนายหนุ่มจากธาตุพนม ซึ่งเดินทางมากรุงเทพก่อนแล้วตามประสาคนหนุ่มและแลกเงินญี่ปุ่นไว้แล้วเกือบแสนคุยให้คณะฟังว่า "เงินญี่ปุ่น 100เยนประมาณ 32 บาทไทย ผมแลกเมื่อวานนี้ 33 บาท กว่าแต่ธนาคารแห่งประเทศไทยนะ ในสนามบินคง 32 กว่านี่แหละไผซิแลคกะได้เด้อ 32 บาท" "เบิ่งดู๋ท่านนายกยังบ่ไปฮอดไสมันเอากำไรหมู่แล้ว"สจ.กอ(ทันใจ ณ รังศรี)ตระโกนขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะกันครึกครื้น


0000สองทุ่มตามนัดหมาย ส่วนใหญ่ก็รวมตัวกันอยู่แล้วเพราะหมดภาระกิจและกลัวหลงเพื่อน เป็นบ้านนอกเข้ากรุง ที่ชั้นสี่ สายการบิน JAPAN AIRLINE แถว R เจ้าหน้าที่เวิลดิ์ สปิริต ออนทัวร์ มาต้อนรับคณะแนะนำอะไรเพิ่มเติมเพื่อเก็บกระเป๋าเข้าใต้ท้องเครื่องบิน เช็คอินโชว์ตัวและหนังสือเดินทางคู่กับกระเป๋าเซนต์เอกสารเข้าออกประเทศ... นับต่อนี้ไปจนกลับมาที่เดิม ทั้ง 13 ชีวิตฝากไว้กับคนชื่อ สุพจน์ กนกเลิศวงศ์ ผู้เป็นไกด์พาเข้าออกญี่ปุ่นในครั้งนี้...
0000ผ่านการตรวจเอกสารทุกคนเข้าไปเดินดูของปลอดภาษีกันภายในสนามบิน...ทุกคนมีประสบการณ์ในการผ่านเข้าออกสนามบินนานาชาติแห่งนี้มาแล้ว...เพราะเคยเดินทางไปต่างประเทศกันมาแล้ว...เพียงแต่รู้ว่าขึ้นเครื่องgateไหนเวลาเท่าไรต่างรู้หน้าที่ดี...บ้างจับกันเป็นคู่...บ้างเดินเดี่ยว...แต่กลุ่มใหญ่สายตาซนเดินดูฝรั่งแต่งตัวโป้...แล้ววิจารณ์กันให้สนุกปากเพื่อฆ่าเวลา...เห็นหญิงไทยตัวดำปี๋ร่างเล็กนางหนึ่งจูงแขนฝรั่งยักแย้ยักยัน...สจ.สฤษดิ์หันมาหากลุ่มเพื่อนแล้วชี้ไปที่คนทั้งสอง"สินค้านำเข้า""แม่นยังสินค้านำเข้า"สจ.สงวนสงสัย"อ๋อผู้หญิงไทยนำฝรั่งเข้ามา...ถ้าไม่มีผู้หญิงพวกนี้...จ้างฝรั่งมันก็ไม่เข้ามา"
0000สจ.กูด วัฒนชัย จากบ้านแพงถามเพื่อนว่า"เป็นหยังฝรั่งจังมักคนตัวน้อยตัวดำ" สจ.กอ ทันใจว่า"ดำดีดำดูด ของน้อยมันคัก""บ่แม่น"สำเหนียงย้อบ้านแพงสวนคืน"ฝรั่งมันมักคนดำคนขี้ร่ายเพราะมันสบายใจบ่ต้องมีไผ่มาคอยแย่งเมียมัน"
00000สี่ทุ่มครึ่ง 12 ชีวิต บวก 1...จากชายแดนริมฝั่งโขงประเทศไทย ก็ทะยานข้ามน้ำข้ามทะเลสู่แดนปลาดิบ...โดยสายการบิน JAPAN AIRLINE เที่ยวบินที่ JL.718 สนามบินนานาชาติ นาริตะ...คือเป้าหมายตอนหกโมงเช้าของวันพรุ่งนี้...
00000นั่ง PB.AIR. จากนครพนมตกหลุมอากาศหน้ามรสุมว่าหวาดเสียวแล้ว เพราะสังเกตเห็นพวกเรานั่งนิ่งไม่พูดคุยเหมือนขึ้นเครื่องใหม่ๆ...มาเจอ JAL.ของญี่ปุ่นที่เป็นเครื่องใหญ่เจอหลุมอากาศยิ่งสั่นสะท้านเป็นสองเท่าทุกคนนั่งหลับตาเอนหลังพิงเบาะคงยังไม่หลับเพราะทีวีตัวเล็กหลังเบาะนั่งยังเปิดไว้...เรายังหลงภาวนา...มือกำหลวงพ่อเจ้าคุณจันโทปมาจารย์ที่ห้อยคอไว้ตลอดเวลาว่า....ช่วยลูกด้วยครับท่านเจ้าคุณ...
เคยอ่านเจอแต่ในหนังสือว่าเครื่องตกหลุมอากาศเป็นเช่นไร...นึกบรรยากาศและอาการไม่ออก...จนได้มาพบเจอกับตัวว่านี่แหละคือของจริง...ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเมารถเรือจนคลื่นเหียรอาเจียร...นอกจากอวกบ้างตอนเมากัญชา...หรือเหล้า...อายุสามขวบนั่งเรือกระแซงแล้ว สี่ขวบว่ายน้ำเป็น...ภูมิต้านทานมีมาแต่กำเหนิด แต่...อาการที่มันเกิดขึ้นกับเราวันนี้มันคืออะไรกันแน่ครับ...กินเหล้าหมดสามขวดก็ไม่ปานไม่ได้กินข้าวมาแล้วสามวันก็ไม่ใช่....อยากอวกวิงเวียนแต่อวกไม่ออก...ปวดท้องขี้แต่คงขี้ไม่ออกเพราะอาการมันบอกอย่างนั้น...กลืนน้ำลายฝืดไม่ยอมลงคอมันแน่นไปหมดทั้งหน้าอก...ช่องท้อง...เหงื่อซึมเต็มหลัง...หรี่ตามองเพื่อนรอบข้างตัวแข็งนิ่งสนิทเหมือนมัมมี่...เครื่องบินกระทบคลื่นเหมือนนั่งรถมอเตอร์ไซค์ตัดคลื่นลูกรังถนนที่ไม่เคยปรับเกรด..."ขณะนี้อากาศแปรปวนขอให้ทุกคนรัดเข็มขัดและนั่งอยู่กับที่."เสียงกัปตันประกาศเป็นครั้งที่เท่าไรก็ไม่ทราบได้เพราะมีทั้งภาษาญี่ปุ่น...อังกฤษ...ไทย...สลับกันไปมา....
0000กลิ่นข้าวต้มโชยเข้าจมูก...และมีเสียงเรียกเบาๆข้างหู..."อาหารเช้าคะ กาแฟโอวัลติน...หรืออย่างอื่นก็ได้นะคะ" เราหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่...ไม่อาจทราบได้เหลือบดูนาฬิกาบอกเวลาที่ติดอยู่ข้างหน้า...ตีห้าสิบสองนาที มองออกนอกหน้าต่างยังมืดสนิท...เหลือเวลาอีกประมาณชั่วโมงเศษคณะเราก็จะหย่อนเท้าลงสัมผัสแผ่นดินภูเขาไฟที่เรียกว่าญี่ปุ่นแล้ว...

วันพฤหัสบดีที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2551

28 กันยายน - 1 ตุลาคม 2551 ไปญี่ปุ่นครับ....

0000######หลังจากที่มีการประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง จากคณะกรรมการการเลือกตั้ง เป็นที่เรียบร้อยแล้ว...นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม ก็ขอเปิดประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม เพื่อเลือก...ประธานสภา...รองประธานสภา..และเพื่อให้ นายก ได้แถลงนโยบายต่อสภาก่อนการเข้าปฏิบัติหน้าที่ มติที่ประชุมสภาเลือกประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ ได้...ว่าที่ รต.ถีระวัฒน์ จำปาไชยศรี สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเขตอำเภอท่าอุเทน(ส.อบจ.)เป็นประธานสภาได้รองประธานคนที่ 1 นายสฤษดิ์ โมธรรม ส.อบจ.เขตอำเภอนาทม นายสุขุม ไชยภักดี ส.อบจ.เขตอำเภอเรณูนคร รองประธานคนที่ 2

0000000การประชุมนัดต่อๆมาสภาก็ได้นำเอาปัญญหาในหลายเรื่องเข้าประชุม...มีการตั้งคณะกรรมการชุดต่างๆในการทำหน้าที่ ตามกรอบอำนาจและภาระที่ได้หาเสียงไว้กับพี่น้องประชาชน โดยสภาเลือกันเองตามความเหมาะสม...ความสนใจของแต่ละคนซึ่งเรียกว่าคณะกรรมการสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ตามประกาศลงวันที่ 6 มิถุนายน 2551 ให้แต่ละคณะเลือกประธานและเลขานุการกันเอง โดยกำหนดภาระงานไว้ 8 คณะ มีคณะที่ 8 คือคณะกรรมการส่งเสริมปลูกพืชพลังงานทดแทนน้ำมัน....มี


..................1.นายสมชอบ นิติพจน์ ประธานคณะกรรมการ
..................2.เกษตรจังหวัดนครพนม กรรมการ
..................3.นายภักดี สุขรี กรรมการ
..................4.นายวัฒนชัย คำมุข กรรมการ
..................5.นายทันใจ ณ รังศรี กรรมการ
..................6.นายเกษม วงค์ตาหล้า กรรมการ
..................7.นายสากล ไกรษร กรรมการ
..................8.นายสงวน คังกัน กรรมการ/เลขานุการ


0000คณะกรรมการชุดนี้ได้ประชุม ตกลงกันว่าต้องไปศึกษาดูงานโรงงานผลิตไบโอดีเซลที่ประเทศญี่ปุ่นโดยประสานงบประมาณ ในข้อบัญญัติเพิ่มเติมฉบับที่ 2 ของปีงบประมาณ 2551 ติดต่อทัวร์ขออนุญาตเดินทางศึกษาดูงานจากผู้ว่าราชการจังหวัด เสร็จสรรพผู้ว่าอนุมัติให้เดินทางในวันที่ 28 กันยายน -1 ตุลาคม 2551 ให้ เวิลด์ สปิริต ออนทัวร์ จำกัด เป็นธุระนำพาคณะทั้งหมด 13ชีวิต สู่แดนปลาดิบ....

0000ทางชีวิตของคนเราย่อมพลิกผันได้ทุกเวลานาที หากจังหวะและโอกาสนั้นมาถึง แต่กว่าจะมาถึงวันนั้นบางทีก็รอคอยด้วยเวลาที่ยาวนาน...แล้วคลืนชีวิตของเรา...ครูบ้านนอกจากบ้านศรีเวินชัย...ก็ถูกซัดใกล้ประเทศที่เจิญด้วยวัตถุ...ที่หลายคนไฝ่ฝันที่จะไปเหยียบดินแดนแห่งภูเขาไฟ...ดินแดนอาทิตย์อุทัย...หรือเมืองกิโมโน...ผู้พ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2...

0000ศุกร์ที่ 26 กันยายน 2551 หลังประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม สมัยสามัญ สมัยที่ 2 ประจำปี 2551 จบลง ดร.สมชอบ นิติพจน์ ผู้เป็นหัวขบวนในการนำคณะเหิรฟ้าสู่ดินแดนอารยะธรรมล้ำสมัยกว่าใครในภูมิภาคนี้...นัดหมาย...ผู้ร่วมเดินทาง...แนะนำขั้นตอนการเดินทางแจกเอกสาร...เตรียมตัวเตรียมใจเรียกน้ำย่อย...เพื่อกระตุ้นต่อมเดินทางให้ตื่นตัว...ถือเป็นการอบรมก่อนการเดินทาง...ในฐานะที่เป็นผู้ผ่านการเดินทางมามากว่าใครเพื่อน...พูดคุยอวดสรรพคุณเสร็จก็แยกกันไปถูกรีดพิษที่บ้านใครบ้านมัน...

0000vอาทิตย์ที่ 28 กันยายน 2551 นครพนม - กรุงเทพฯ - นาริตะ

000016.00 น. คณะพร้อมกันที่สนามบินนครพนม เพื่อตรวจเช็คสัมภาระ และความพร้อมก่อนออกเดินทาง ก่อนเวลานัดหมายหลายคนตื่นเต้น...กระดี้กระด้าเหมือนปลาได้ฝน...เพราะการเดินทางครั้งนี้ไม่มีผู้ติดตามคอยกำกับ...สจ.กอ ...สจ.สงวน...สจ.สฤษดิ์... สจ.กูด...เลขาเกษม...นัดกันมารวมตัวที่บ้านเราต้มปลาหลาด(ปลากระทิง)...ทอดปลาโทดธง แดดเดียว รองท้องก่อนเดินทาง เจ้าหน้ที่ อบจ.คอยต้อนรับอยู่ก่อนแล้วที่สนามบินโดยหัวหน้ามีชัย จงประเสริฐ รก.ผู้อำนวยการกองกิจการสภาผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับ ส.อบจ.พาน้องๆในกองไปตั้งโต๊ะคอยรับและส่งคณะด้วยน้ำชา กาแฟ...ของว่างขบเคี้ยว...ถ่ายรูปหมู่รำลากันเหมือนสมัยที่เพื่อนเราจะขึ้นเครื่องไปทำงานซาอุ...แถมออดอ้อนขอของฝากจากญี่ปุ่นกับ ส.อบจ.ด้วยความสนิทสนม....

0000ประมาณ17.15 น.คณะขึ้นเครื่องเหิรฟ้าสู่สนามบินสุวรรณภูมิ..โดย PB.air.เที่ยวบินที่. 9Q 877อันเป็นเทียวบินบังคับหนึ่งเดียวของนครพนม - กรุงเทพ ฯที่ราคาข้าราชการซี 7 ไม่กล้านั่ง ดูทุกคนไม่ตื่นเต้นเพราะผ่านการเดินทางเมืองนอกมาแล้ว...จนเครื่องบินผ่านโคราชกัปตันประกาศว่าขณะนี้อากาศแปรปรวนให้ทุกคนรัดเข็มขัดและนั่งอยู่กับที่...เสียงที่คุยกันจึงเงียบเสียงลง...ที่เงียบคงมีคนภาวนาขออะไรอยู่ในใจหรือเปล่าก็ไม่รู้...แต่เราก็มีความรู้สึกนั้นเหมือนกันแต่ไม่บอกใคร...

0000หกโมงครึ่งเครื่องลงจอดที่สุวรรณภูมิ...รอเช็คอินอีกครั้งตอนสองทุ่ม...